Saturday, 25 December 2010
ระบายสี ในโลกกว้าง
Thursday, 23 December 2010
หลักการทำงานของหน่วยความจำแบบ DDR3
ดังนั้น Kingston และบริษัทในเครือ Advanced Validation Labs, Inc. (AVL) จึงเป็นผู้ให้บริการตรวจรับรองชิปหน่วยความจำ DDR3 และหน่วยความจำ ให้แก่อุตสาหกรรมนี้ และให้บริการทดสอบที่ผ่านการรับรองจาก Intel AVL เป็นห้องปฏิบัติการตรวจรับรองเทคโนโลยีหน่วยความจำชั้นนำ ในอุตสาหกรรมด้านนี้ โดยบริการทดสอบนี้ผ่านการรับรองจากผู้ผลิตระบบและผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ ประกอบด้วย Intel , SiS , VIA , NVIDIA , และ ATI
Wednesday, 8 December 2010
ระบายสี ในโลกกว้าง
Saturday, 4 December 2010
ระบายสี ในโลกกว้าง
Thursday, 25 November 2010
ระบบไฟฟ้า ของ พาวเวอร์ซัพพลาย
พาวเวอร์ ซัพพลาย หรือเรียกว่า Swiching Power Supply เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ อย่างมากต่ออุปกรณ์เกือบทุกตัวในระบบคอมพิวเตอร์ เพราะถ้าไม่มีแหล่งจ่ายพลังงานให้อุปกรณ์ต่างๆ ก็จะไม่สามารถทำงานได้ ที่สำคัญในหลักปฏิบัติพื้นฐานของช่างคอมพิวเตอร์, ช่างซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตรวจสอบที่ภาคจ่ายไฟ หรือพาวเวอร์ซัพพลายนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะไปตรวจเช็ตในส่วนอื่นๆ ต่อไป
ประเภทของ Power Supply แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
1. AT เป็นพาวเวอร์ที่นิยมใช้กันในประมาณ 4-5 ปีก่อน (พ.ศ. 2539) โดยปุ่มเปิด - ปิด การทำงานเป็นการต่อตรงกับแหล่งจ่ายไฟ ทำให้เกิดปัญหากับอุปกรณ์บางตัว เช่น ฮาร์ดดิกส์ หรือซีพียู ที่ต้องอาศัยไฟในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดเครื่อง (วิธีดูง่ายๆ จัมีสวิตซ์ปิดเปิด จากพาวเวอร์ซัพพลายติดมาด้วย)
2. ATX เป็นพาวเวอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน โดยมีการพัฒนาจาก AT โดยเปลี่ยนปุ่มปิด - เปิด ต่อตรงกับส่วนเมนบอร์ดก่อน เพื่อให้ยังคงมีกระแสไฟหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ก่อนที่จะปิดเครื่อง ทำให้ลดอัตราเสียของอุปกรณ์ลง โดยมีรุ่นต่างๆ ดังนี้
• ATX 2.01 แบบ PS/2 ใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปที่ใช้ตัวถังแบบ ATX สามารถใช้ได้กับเมนบอร์ดแบบ ATX และ Micro ATX
• ATX 2.03 แบบ PS/2 ใช้กับคอมพิวเตอร์แบบ Server หรือ Workstation ที่ใช้ตัวถังแบบ ATX (สังเกตว่าจะมีสายไฟเพิ่มอีกหนึ่งเส้น ที่เรียกว่า AUX connector)
• ATX 2.01 แบบ PS/3 ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตัวถังแบบ Micro ATX และเมนบอร์ดแบบ Micro ATX เท่านั้น
การทำงานส่วนต่างๆ ของพาวเวอร์ซัพพลาย
v1. ไฟกระแสสลับขาเข้า (AC Input) พลังงานไฟฟ้าในส่วนนี้ จะมาจากปลั๊กไฟ โดยที่รู้แล้วว่าไฟ ที่ใช้กันอยู่จะเป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่มีขนาดแรงดัน 220v ความถี่ 50 Hz เมื่อเสียบปลั๊กไฟกระแสไฟฟ้า ก็จะวิ่งตามตัวนำเข้ามายังเครื่องใช้ไฟฟ้า
2. ฟิวส์ (Fuse) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ ในการป้องกันวงจรพาวเวอร์ซัพพลายทั้งหมดให้รอดพ้น อันตราย จากกระแสไฟแรงสูงที่เกิดขึ้นจากการถูกฟ้าผ่า หรือกระแสไฟฟ้าแรงสูงในรูปแบบต่างๆ โดยหากเกิดกระแสไฟฟ้าแรงสูงเกินกว่าที่ฟิวส์จะทนได้ ฟิวส์ตัวนี้ก็จะตัดในทันทีทันใด
3. วงจรกรองแรงดัน วงจรกรองแรงดันนี้จะทำหน้าที่กรองแรงดันไฟไม่ว่าจะเป็นแบบกระแสสลับ หรือกระแสตรงก็ตาม ที่เข้ามาให้มีความบริสุทธิ์จริงๆ เพื่อป้องกันแรงดันไฟที่ผิดปกติเช่นไฟกระชาก ซึ่งจะเป็นผลให้วงจรต่างๆ ในพาวเวอร์ซัพพลายเกิดความเสียหายขึ้นได้
4. ภาคเรคติไฟเออร์ (Rectifier) หลังจากที่ไฟกระแสสลับ 220v ได้วิ่งผ่านฟิวส์ และวงจรกรองแรงดันเรียบร้อยแล้วก็จะตรงมายังภาคเรคติไฟเออร์ โดยหน้าที่ของเจ้าเรคติไฟเออร์ ก็คือ การแปลงไฟกระแสสลับ ให้มาเป็นไฟกระแสตรง ซึ่งก็ประกอบไปด้วย
• ตัวเก็บประจุ (Capacitor) จะทำหน้าที่ทำปรับให้แรงดันไฟกระแสตรงที่ออกมาจากบริดเรคติไฟเออร์ ให้เป็นไฟกระแสตรงที่เรียบจริงๆ
• ไดโอดบริดจ์เรคติไฟเออร์ (Bridge Rectifier) ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของตัว IC หรือแบบที่นำไดโอด 4 ตัวมาต่อกันให้เป็นวจรบริดจ์เรคติไฟเออร์
5. วงจรสวิตชิ่ง (Switching) เป็นวงจรที่ใช้ในการทำงานร่วมกับวงจรควบคุม (Control Circuit) เพื่อตรวจสอบว่าควรจะจ่ายแรงดันทั้งหมดให้กับระบบหรือไม่ โดยถ้าวงจรควบคุมส่งสัญญาณมาให้กับวงจรสวิตซิ่งว่าให้ทำงาน ก็จะเริ่มจ่ายแรงดันไฟฟ้า ที่ได้จากภาคเรคติไฟเออร์ไปให้กับหม้อแปลงต่อไป
6. หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) หม้อแปลงที่ใช้ในวงจรสวิตชิ่งซัพพลาย จะเป็นหม้อแปลงที่มีหน้าที่ในการแปลงไฟ ที่ได้จากภาคสวิตชิ่ง ซึ่งก็รับแรงดันไฟมาจากภาคเรติไฟเออร์อีกต่อหนึ่ง โดยแรงดันไฟฟ้ากระแสงตรงที่มีค่าแรงดันสูงขนาดประมาณ 300 v ดังนั้นหม้อแปลงตัวนี้ก็จะ ทำหน้าที่ในการแปลงแรงดันไฟกระแสตรงสูงนี้ให้มี ระดับแรงดันที่ลดต่ำลงมา เพื่อที่จะสามารถใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ก่อนที่จะส่งไปให้วงจรควบคุมแรงดันต่อไป
7. วงจรควบคุมแรงดัน (Voltage Control) เป็นวงจรที่จะกำหนดค่าของแรงดันไฟฟ้า กระแสตรงที่ได้รับมาจากหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อที่จะให้ได้ระดับแรงดันที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่างๆ โดยค่าของระดับแรงดันไฟฟ้านี้ก็จะมีขนาด 5v และ 12v สำหรับพาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้กับเมนบอร์ดแบบ AT แต่ถ้าเป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้กับเมนบอร์ดที่เป็นแบบ ATX ก็จะต้องมีวงจรควบคุมแรงดันให้ออกมามีขนาด 3.3v เพิ่มอีกหนึ่ง (ซึ่งซีพียูรุ่นเก่าที่ใช้แรงดันไฟขนาด 3.3 v นี้ก็สามารถที่จะดึงแรงดันไฟในส่วนนี้ไปเลี้ยงซีพียูได้เลย)
8. วงจรควบคุม เป็นวงจรที่ใช้ในการควบคุมวงจรสวิตชิ่ง ว่าจะให้ทำการจ่ายแรงดันไปให้กับหม้อแปลงหรือไม่ และแน่นอนว่าในส่วนนี้จะทำงานร่วมกับวงจรลอจิกที่อยู่บนเมนบอร์ด เมื่อวงจรลอจิกส่งสัญญาณกลับมาให้แก่วงจรควบคุม วงจรควบคุมก็จะสั่งการให้วงจรสวิตชิ่งทำงาน
วิธีการเลือกซื้อ
1. เลือกดูกำลังวัตต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของเครื่องแต่ละคน (ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่ากำลังวัตต์ที่ปรากฏอยู่มีกำลังวัตต์จริง หากไม่มีเครื่องมือวัดให้ใช้หลักการง่ายๆ ในการตรวจสอบ คือตรวจสอบน้ำหนักของพาวเวอร์ซัพพลายนั้น เพราะถ้ามีน้ำหนักมากหมายถึงอุปกรณ์ภายใน เช่น หม้อแปลงแรงดันไฟฟ้ามีขนาดใหญ่ หรือตัวเหนี่ยวนำจะมีขนาดใหญ่)
2. ดูสภาพจากกล่องภายนอกว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่บุบเบี้ยว
3. สายไฟ ขนาดไม่เล็กจนเกินไป ปลั๊กไฟมีจำนวน 6-9 หัว (ขึ้นอยู่กับรุ่น) และอยู่ในสภาพสมบูรณ์)
4. มาตรฐานรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานต่างๆ เช่น FCC/ CE/ UL/ TUV เป็นต้น
Wednesday, 17 November 2010
ระบายสี ในโลกกว้าง
วันนี้ก็ยังคงต้องทำงาน โลกเรา็ก็ยังคงหมุนไปเรื่อยๆ เราทุกคนก็คงต้องเดินหน้ากันต่อไป หนูควรต้อง ตั้งหน้าตั้งตา ทำงานต่อไป เพื่อ ชีวิต เพื่อการดำรงอยู่ ในสังคม ต่อไป
Tuesday, 16 November 2010
Firewall ระดับองค์กร
ทำความรู้จัึกกับ Check point
Check point เป็นแบรนด์หนึ่ง ที่ผลิตอุปกรณ์ทางด้าน Security เช่น Check point UTM-1 Appliance อุปกรณ์ตัวนี้ทำหน้่าที่เป็น firewall การใช้งานเเละการติดตั้ง ง่าย ในลักษณะ plug and play สำหรับเรื่องการนำไปใช้งาน นั้นต้องดูไปถึง องค์กร ว่ามีการตั้งระดับการรักษาึความปลอดภัยไว้ขั้นไหน หรือ ระบบ Network ภายในกำหนดไว้อย่างไร
ความสามารถของ Check point UTM-1 Appliance
- ทำหน้าที่เป็น firewall
- มีความยืดหยุ่นในการบริหาร จัดการ ทำงานด้วยระบบ Web base
. Firewall software blade
. IPSec VPN software blade
. Anti virus Anti Malware software blade
. URL Filtering software blade (บล็อกการใช้งานบางเว็บไซต์ได้)
. การบริหารจัดการ จากจุดศูนย์กลาง - Centralized Management
. Update จากจุดศูนย์กลาง - Centralized Updates
. ง่ายในการติดตั้ง
UTM คืออะไร
UTM ย่อมาจาก Unified threat management การรวมระบบ Security ต่างๆ เข้าด้วยกัน เรียกว่าเป็น "Security Total Solution" ก็ว่าได้ ซึ่งประกอบด้วย
- Network fire walling
- Network intrusion prevention
- Gateway anti virus (AV)
- Gateway anti spam
- VPN
- Content filtering
- Load balancing
- On-appliance reporting
หากต้องการศึกษาได้จาก www.checkpoint.com
Thursday, 11 November 2010
ระบายสี ในโลกกว้าง
Monday, 8 November 2010
ความแตกต่างระหว่าง NTFS กับ FAT32
- ออกแบบมาเพื่อใช้กับระบบ ปฏิบัติการ Windows NT โดยเฉพาะ
- เป็น ระบบไฟล์ที่ออกแบบเพื่อให้มีศักยภาพ ในการประมวลผลข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ และนำมาใช้กับระบบปฏิบัติการ เครือข่ายที่ต้องมีการควบคุมระบบความปลอดภัย
- สนับสนุนการตั้งชื่อไฟล์หรือ ไดเร็คทอรี่แบบยาว ได้ถึง 255 ตัวอักษร
- NTFS มีข้อดีคือ
1.มีความสามารถในการบีบอัดข้อมูล (File Compression)ให้ได้พื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น โดยไฟล์ที่เก็บข้อมูลเป็นตัวอักษรจะบีบอัดได้ประมาณ 50 % ถ้าเป็นไฟล์แบบ .exe จะประหยัดเนื้อที่ได้ประมาณ 40 %
2.มีความสามารถในการกำหนดสิทธิ์ (Permission) การเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้ใช้งานแต่ละคน ว่าให้ใครเข้าถึงข้อมูลไฟล์ไหนได้บ้าง แล้วสามารถอ่านได้อย่างเดียวหรือ แก้ไขได้ด้วย
3.มีความสามารถในการเข้ารหัสข้อมูลได้
4.NTFS สามารถรองรับขนาดของไฟล์และพาร์ติชันได้ใหญ่กว่า แบบ FAT ในทางทฤษฎีสามารถรองรับขนาดของไฟล์และพาร์ติชันรวมกันได้ถึง 16 Exabyte (EB) แต่ในทางปฎิบัติ สามารถรองรับขนาดของไฟล์ได้ 4-64 GB ส่วนขนาดของพาร์ติชันรองรับได้ 2 TB
5.มีความสามารถจัดการกับ Cluster ที่เกิดปัญหา ซึ่งจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Bad- Cluster Mapping คือเมื่อระบบพบว่ามี Bad Sector บน Hard disk ก็จะจัดหา Cluster ใหม่แล้วย้ายข้อมูลจาก Cluster เก่ามาใส่ให้โดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงกำหนด Cluster เก่าเป็น Bad Sector
•ใน ระบบ FAT จะ ไม่สนับสนุนการบีบอัดข้อมูล การเข้ารหัสข้อมูล และไม่มี Feature ในเรื่องของการ รักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึง ข้อมูล ซึ่งต่างกับระบบ NTFS
•ข้อเสียของ ของ NTFS ในยุคของ Windows NT คือไม่สามารถมองเห็นฮาร์ดดิสก์ที่เป็น File System แบบ FAT และในทางกลับกันระบบ FAT ก็จะมองฮาร์ดดิสก์ที่เป็น NTFS ไม่เห็นเช่นกัน
•แต่เมื่อมีระบบปฏิบัติการ Windows 2000 และ Windows XP ทำให้ฮาร์ดดิสก์ที่มีระบบไฟล์แบบ NTFS สามารถมองฮาร์ดดิสก์ที่มีระบบไฟล์แบบ FAT ได้ เพราะ ระบบปฏิบัติการ Windows 2000 และ Windows XP มีความสามารถในการสนับสนุน File System ทั้งแบบ FAT และ NTFS ทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows 2000 และ Windows XP สามารถที่จะมองฮาร์ดดิสก์ทั้งแบบ NTFS และ FAT
ถ้า Shutdown ไม่ถูกวิธี (FAT32) จะต้องมา check disk กันทุกครั้ง
แต่ถ้าเป็น NTFS มันจะไม่ค่อย check disk ยกเว้นกรณีที่ Map และ Index ของ NTFS เกิดเสียหายถึงจะ check disk
File Fat32 ที่ Boot Dos เห็น Ntfs ได้ ชื่อไฟล์ NtfsDosPro
ถ้า file ใหญ่กว่า 2G NTFS ดีกว่าจะได้ไม่ต้องตัดแบ่งเป็นหลาย file เหมือนใน fat32
ข้อเสียของ FAT 32
1. ไม่สับสนุนการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่น รวมถึงวินโดวส์ 95 เวอร์ชันเดิม และวินโดวส์เอ็นที 4.0
2. ในการใช้โปรแกรม Utility ที่จัดการกับดิสก์ ผู้ใช้ต้องตรวจสอบโปรแกรมนั้นว่าสนับสนุนระบบ FAT32 หรือไม่ ถ้าไม่สนับสนุน หรือไม่ได้ตรวจสอบแล้วผู้ใช้ใช้โปรแกรมนั้นกับฮาร์ดดิสก์ที่ เป็น FAT32 จะทำให้เกิดความเสียหายกับข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ โดยไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับคืนมา สำหรับโปรแกรมวินโดวส์ 95 OSR2 นั้นจะมีซอฟต์แวร์ Fdisk, Format, Scandisk และ Defrag ที่สนับสนุน FAT32 แต่มีซอฟต์แวร์ 1 ตัวในวินโดวส์เวอร์ชันนี้ที่ไม่สนับสนุน FAT32 คือ DriveSpace3 ดังนั้นจึงห้ามใช้ซอฟต์แวร์นี้กับฮาร์ดดิสก์ที่เป็น FAT32 เป็นอันขาด
1. ถ้าใช้ "Windows Me" ต้องใช้ FAT32 เพราะว่ามันจะมองไม่เห็น NTFS
2. แต่ถ้าใช้ "Windows XP" หรือ "Windows 2000" มีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้ ได้ทั้ง NTFS หรือ FAT32
3. ดูจุดประสงค์ในการใช้งานด้วย หากใช้HDD โดยไม่มีโอกาสที่จะนำ HDD ไปต่อพ่วงกับเครื่องอื่นเพื่อถ่ายข้อมูล โดยที่เครื่องอื่นใช้ Windows Me อยู่ก็ใช้ NTFS ก็ได้ โดยข้อดีของ NTFS ทางเทคนิคเหนือกว่า FAT32 แต่ในทางกลับกัน ยังมีความจำเป็นในอนาคตที่จะต้องนำHDD ตัวนี้ไปถ่ายข้อมูล
FAT16 คือระบบที่ใช้ในสมัยคอมเรานั้นยังเป็นไฟล์ระบบ 16-bit ใช้ตั้งแต่ Win95,NT4.0ลงมา FAT32 32-bit ตั้งแต่ Win98ขึ้นไป
ส่วน Cluster จะแบ่งตามขนาดของพาร์ติชั่น เช่น น้อยกว่า 260 Megabyte Cluster 512 byte ,260-511 Megabyte Cluster 4 kilobyte ,512-1023 Megabyte Cluster 4 kilobyte ที่กล่าวมาเป็นของFAT32 ส่วน NTFS ไม่รู้มันกำหนดยังไง แต่ว่า Defualt มันที่ 4KB ไม่เชื่อลองไป My com.. คลิกขวาที่ไดร์เลือก Format ดูที่ Allocation unit size จะตั้งให้เห็นว่า 4,096 Bite = 4Kb นั่นเอง (เวลา Format window... มันก็ตั้ง ที่4Kb) Cluster มากน้อยดียังไงอันนี้ผมไม่รู้ ที่บอกว่า Fat32 มันก็อบข้อมูลไม่ได้อาจเป็นเพราะว่ามันมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่ หรือว่า ชื่อไฟล์หรือ ไดเร็คทอรี่ มันยาวเกินไป ประมาณนั้น
ข้อดีNTFS
จาก ข้อดีNTFS ข้อ2 ที่กล่าวมา ลองสังเกตุว่า ถ้า user account มันมีการเข้ารหัส ถ้ามีผู้ใดขโมย Hard disk ไปใส่เครื่องอื่น เวลาที่อ่านแฟ้มข้อมูลที่มีการเข้ารหัส มันจะไม่สามารถเข้าได้
NTFS มี Indexing service เป็นระบบที่ช่วยเข้าถึงข้อมูลรวดเร็วขึ้น XP ตั้งเป็น Defualt อยู่แล้วแต่สามารถยกเลิกได้ ส่วน Vista มันเหมือนบังคับ เพราะว่า Vista นำ ระบบนี้มาเป็นปัจจัยหลักในระบบปฎิบัติการ Vista ถ้าลองยกเลิกดูแล้วลอง รีเครื่องที่ เดียวดับเครื่องจะไม่สามารถบูทเข้า Vista ได้
-NTFS เร็วกว่า FAT32
Friday, 5 November 2010
Mode แต่ละโหมดของ Wireless Access Point
วันนี้ขอพูดถึง mode ของ wireless access point ค่ะ โดยทั่วๆไป Wireless Access Point จะมี Mode 4 - 5 Mode
1. Access Point Mode โหมดนี้ เป็นเพียงโหมดเดียวที่ให้เครื่องลูกข่าย เชื่อมโยงเข้ากับ Access Point ได้ นอกจากนั้นจะเป็นการเชื่อมกันระหว่าง Access Point ด้วยกันเอง
2. Wireless Client Mode โหมดนี้จะทำให้ Access Point กลายเป็นลูกข่ายเครื่องนึง ของ Access Point อีกอันหนึ่ง ส่วนมากเราจะใช้โหมดนี้ในการเชื่อมต่อระบบ Wired Network เข้ากับระบบ Wireless Network
3. Wireless Bridge โหมดนี้ ในการเชื่อมต่อ Network 2 Network เข้าด้วยกันแบบ Wireless โดยทั่วไปเราจะใช้ในการเชื่อมต่อ Network ระหว่างตึก 2 ตึกที่อยู่ไม่ไกลกัน อย่างไรก็ตาม การใช้โหมดนี้ ส่วนใหญ่แล้ว อุปกรณ์ที่ 2 ฝั่งต้องเป็นยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เช่น ถ้าฝั่งหนึ่งเป็น DWL-2000AP+ อีกฝั่งนึงก็ต้องเป็น DWL-2000AP+ เหมือนกัน
4. Multi-point Bridge โหมดนี้จะเหมือนกับ Wireless Bridge เพียงแต่ว่าโหมดนี้จะเป็นการเชื่อมมากกว่า 2 Network และก็เหมือนกับ Wireless Bridge การใช้โหมดนี้ ส่วนใหญ่แล้ว Access Point ทุกตัวที่ใช้ ต้องเป็นยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน
5. Repeater Mode โหมดนี้เป็นเหมือนการขยายระยะส่งของระบบ Wireless LAN โดยติดตั้ง Access Point เพิ่มขึ้น บริเวณที่สัญญาณของ Access Point ตัวหลักเริ่มจาง ทำให้สามารถเพิ่มระยะส่งของทั้งระบบออกไป
Tuesday, 26 October 2010
ความหมาย (PHP Meaning)
Monday, 25 October 2010
Ajax
Ajax ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเว็บ แต่เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น
• HTML หรือ XHTML และ CSS สำหรับการแสดงข้อมูล
• DOM (Document Object Model) สำหรับให้ JavaScript ในการทำงานเพื่อใช้ในการแสดงไดนามิกข้อมูล
• XML และ XSLT สำหรับการส่งข้อมูลและการจัดการข้อมูล
• XMLHttpRequest เป็นออบเจ็กต์ ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์
• JavaScript คือเครื่องมือที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน
บราวเซอร์ที่สนับสนุน
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า Ajax เป็นเทคนิคที่อยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีอะไรใหม่ จึงทำให้โปรแกรมบราวเซอร์ที่เป็นที่นิยมกันอยู่ ในปัจจุบันสามารถทำงานร่วม กับ Ajax ได้
1. Apple Safari 1.2 หรือใหม่กว่า
2. Konqueror
3. Microsoft Internet Explorer 4.0 หรือใหม่กว่า
4. Mozilla Firefox 1.0 หรือใหม่กว่า
5. Netscape 7.1 หรือใหม่กว่า
6. Opera 7.6
สรุปก็คือ Ajax ไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุดของการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชัน แต่มันประกอบไปด้วยเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ถูกจับมารวบอยู่ด้วยกัน Ajax ในวันนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้ เพราะแม้แต่ Google ที่ได้รับการยอมรับว่ามี การพัฒนาเรื่องของเทคโนโลยีทางเว็บก้าวหน้าอย่างมาก ยังนำ Ajax มาใช้ในแอพพลิเคชันของตน เราในฐานะของนักพัฒนาชาวไทย เราคงต้องหันมาสนใจและนำ Ajax มาใช้มากขึ้น
Thursday, 21 October 2010
การใช้งาน VOIP
ปกติทำอย่างไร
ปกติแล้วเวลาเราเดินทางไปต่างประเทศ สำหรับนักธุรกิจ หรือผู้ที่ไม่สามารถขาดการติดต่อทางโทรศัพท์ได้ ก็จำเป็นต้องเปิดบริการ Roaming จากผู้ให้บริการโทรศัพท์ จากนั้นเมื่อถึงประเทศนั้นๆ เราก็เปิดเครื่อง หาเครือข่ายที่รับได้ แล้วก็สามารถใช้งานได้ทันที ทั้งโทรเข้า,โทรออก ค่าบริการ ที่ไม่ว่าเราจะรับสาย หรือโทรกลับเมืองไทย ค่าบริการแพง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDBWeVe77ZVaBAG0gl6ZqJ9zegnV6Wv-MttqFe0JTFcPgZZ3Aru_o6Ju1k7liS-gq7XIv3jJCZiPXKaOdwHbNf5yfHhlbiM3hSo_tyb7X5oGxSGbFDu9skuVFpqkq1ODxRfGroWVVa9BE/s320/voip1.jpg)
การซื้อ Calling Card ที่มีขายในเมืองนอกนั้น ก็เป็นวิธีที่ช่วยประหยัดได้มาก แต่ว่าไม่สามารถรับสายได้ และถ้าจะถูกก็ต้องโทรจากตู้สาธารณะเท่านั้น เพราะหากไปโทรจากมือถือมันก็แพงพอๆกันอยู่ดี
รับสายผ่าน VoIP ถูกกว่า สะดวกกว่า
การ By Pass เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์ (PSTN) และไปวิ่งผ่านทางเครือข่าย VoIP แทน
ทำอย่างไร
สิ่งที่ต้องมี
1.1 VoIP Gateway (FXO+FXS)ซึ่งต่อเข้ากับเบอร์โทรศัพท์พื้นฐานที่เตรียมไว้ในข้อ 1.3
1.2 VoIP Account (บริการจากผู้ให้บริการ VoIP หรือที่เรียกว่า ITSP = Internet Telephony Service Provider) ซึ่งค่าบริการจะถูกกว่า เช่นโทรไปอเมกิการอาจจะราคาเพียง 2-3 บาท/นาที
1.3 เบอร์โทรศัพท์พื้นฐาน 1 เบอร์
1.4 เบอร์โทรศัพท์มือถือในต่างประเทศ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSa7asUcGYsTF0J-zbJl79wd6E21hJd_hjWqoONWbHqZ0puqNOnvW3Y9JWTAXODr9KAqn-fEEN8HRAIEAuEWf6WpvYxN-CiS8uwNUHgg57rfnGfk0KnD2Df1CUsyGb15MyiWJr5kEF178/s320/voip2.jpg)
2.1 Divert เบอร์มือถือของท่านไปยังเบอร์บ้านในประเทศไทย เพื่อให้คนที่โทรมาหาเรา มันก็จะไปดังที่เบอร์โทรศัพท์พื้นฐานแทน(1.3)...เสียนาทีละ 3 บาทแต่ก็ถูกกว่า 100 บาทในต่างประเทศ
2.2 เมื่อมีการโทรศัพท์เข้าไปยังเบอร์โทรศัพท์มือถือของเราที่ Divert ไว้ ไปยังเบอร์โทรศัพท์พื้นฐานที่ต่อเข้ากับ VoIP Gateway ซึ่งเราได้ทำการตั้งค่าให้มันต่อสาย ผ่าน ITSP (1.2)ไปยังเบอร์โทรศัพท์มือถือในต่างประเทศ (1.4) ที่เราต้องไปซื้อเมื่อไปถึง (เราอาจจะเลือกแบบ Prepaid เพราะเอาไว้รับสายเป็นหลัก)
เท่านี้เราก็สามารถรับสายเข้าจากเมืองไทย ได้โดยเสียค่าบริการเพียงนาทีละ 5 (ค่าบริการ VoIP + ค่าบริการ Divert) ซึ่งน่าจะประหยัดกว่ามากเลยทีเดียว!!
วิธีที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก
นอกจากโทรกันปกติแล้ว เรายังสามารถรับสายที่โอนจาก Office ในเมืองไทยได้เสมือนกับเป็นเบอร์ต่อเบอร์ได้อีกด้วย โดยผู้โทรเข้าก็โทรเข้ามาที่ Office เหมือนปกติ และหากเมื่อเค้าต้องการคุยกับคนที่อยู่ต่างประเทศ ก็โอนสายไปยังเบอร์ต่อภายในที่ถูกโปรแกรม ไปยังเบอร์ต่างประเทศที่เรากำหนด ไว้ เท่านี้ก็สามารถรับสาย อย่างประหยัดและไม่เสียงานเสียการได้เหมือนกัน
Wednesday, 20 October 2010
การ Scan Disk ตรวจสอบ Harddisk สำหรับ Windows XP
"" Thank you very much, I very impression with you services. " หนูดีใจค่ะ เเต่ หนูก็รู้ว่าต้องพยายามมากกว่านี้ มาก เอาล่ะค่ะ วันนี้นำวิธีการ scan disk มาฝากกันนะค่ะ 1. ดับเบิ้ลคลิกที่ My Computer คลิกขวาไดร์ฟที่ต้องการทำ Scan Disk เลือก Properties
2. คลิกที่แท็บ Tools จากนั้นคลิกที่ Check Now
3. คลิกเครื่องหมายถูกที่ Scan for and attempt recovery of bad sectors แล้วคลิก Start
4. รอสักครู่เครื่องจะทำการ Scan Disk
5. เมื่อเครื่องทำการ Scan Disk เสร็จก็จะรายงานได้ทราบ ให้คลิก OK
** Tips อีกหน่อยนะค่ะ
ขณะที่ทำการ Scan Disk ไม่ควรเปิดโปรแกรมใด ๆ
Automatically fix errors เป็นการกำหนดให้ทำการแก้ไขปัญหาที่พบโดยอัตโนมัติ เมื่อพบข้อผิดพลาดขึ้น
ไม่ยากเลยนะค่ะ ยังไง ก็ ลองทำกันดูนะค่ะ
Monday, 18 October 2010
ข้อดีข้อเสียของ Linux
2. มีเสถียรภาพที่ดีกว่า
3. ลีนุกส์สามารถปกป้องเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
4. ไม่ต้องเสียเงินซื้อ
5. มีอิสระ
6. ไม่ต้องติดตั้งซอฟแวร์อะไรเพิ่มเติม
7. สามารถอัพเดทซอฟแวร์ได้ง่ายดายเพียงคลิกเดียว
8. ไม่ผิดกฏหมาย
9. ไม่ต้องค้นหาซอฟแวร์ให้เสียเวลา
10. เดสทอป ที่ล้ำสมัยกว่าด้วย 3D-Desktop
11. เลิกทำ Defragment Hard Disk (จัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดดิสให้เป็นที่เป็นทาง) ไปได้เลย
12. สามารถมีเดสทอปตามแบบที่ตัวเองชอบได้
13. แม้จะใช้งานไปนาน ก็ยังเร็วเหมือนเดิม
14. สามารถใช้ MSN, AIM, ICQ, Jabber ด้วยโปรแกรมเพียงโปรแกรมเดียว
16. สะดวก
17. ไม่ต้องรอ Service Pack
18. ไม่ต้องเสียเวลารีสตาร์ทเครื่องบ่อยๆ
19. ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ เพื่อที่จะได้ใช้ OS ตัวใหม่ๆ
20. มีเกมส์ฟรี ให้เล่น
21. ลีนุกส์ช่วยให้เงินไม่รั่วออกนอกประเทศ
22. โปรแกรมฟังเพลงที่ดี
23. สามารถติดตามสะภาพอากาศได้ตลอดเวลา
24. อื่นๆ อีกมากมาย (หากได้ทดลองใช้งานกัน)
เป็นยังไงกันบ้างค่ะ อ่านเเล้ว รู้สึกว่า จะมาเเก้ไข os ของ windows ได้หมดทุกข้อกันเลยทีดี ค่ะ ยังไงหากสนใจใน linux ก็สามารถนำมาลงในเครื่องของเราได้นะค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่าน
Friday, 15 October 2010
Technomart Innomart 2010
http://www.most.go.th/main/
Tuesday, 12 October 2010
โปรโตคอลมาตรฐานของของระบบเครือข่าย
รู้จักกับโปรโตคอล
การที่จะให้คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจนั้น จำเป็นต้องมีภาษาในการสื่อสารโดยเฉพาะ สำหรับภาษาของการสื่อสารในคอมพิวเตอร์เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เป็นระเบียบวิธีที่กำหนดขึ้นสำหรับการสื่อสาร ให้สามารถติดต่อสื่อสารกันหรือ รับส่งข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลายทางได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด โปรโตคอลที่ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมายหลายแบบเช่น NetBEUI ซึ่งเป็นโปรโตคอลอีกตัวหนึ่ง ที่ใช้ได้ดีในระบบเครือข่ายขนาดเล็ก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก แต่ไม่สามารถทำงานได้เร็วมากนัก นิยมใช้ในระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าอย่าง Windows for Work group 3.11 เป็นต้น และก็ยังมีโปรโตคอลอื่นๆ อีกมาก แต่ส่วนมากที่ใช้กันเป็นหลักก็คือโปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) TCP/IP เป็นโปรโตคอลที่ใช้กันในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งแน่นอนว่าใช้ใน Home Network ได้ด้วย TCP/IP จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย การทำงาน TCP/IP จะมีการจัดแบ่งข้อมูลออกเป็นขนาดย่อยๆ เรียกว่า "แพ็กเกจ" จากนั้นจึงทยอยส่งกันไปจนถึงจุดหมายปลายทาง เสร็จแล้วจึงจะรวมแพ็กเกจย่อยๆ นั้นเป็นข้อมูลต้นฉบับอีกครั้ง และมีการรับประกันความถูกต้องโดยตัวมันเอง
IP Address
การติดต่อสื่อสารในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรโตคอล TCP/IP นอกจากการทำงานของ TCP/IP แล้ว ยังจำเป็นต้องมีการกำหนดเลขหมายของอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่าย เพื่อเกิดการอ้างอิงโดยไม่ซ้ำกันจะได้ส่งข้อมูลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เลขหมายดังกล่าวเรียกว่า ไอพีแอดเดรส เป็นตัวเลขหลัก 4 ชุดที่คั่นด้วยจุด เช่น 192.168.0.1 ไอพีแอดเดรสก็เปรียบเหมือนกับเลขที่บ้าน โดยบ้านแต่ละหลังจะต้องมีเลขที่บ้านโดยต้องไม่ซ้ำกัน เพราะถ้าซ้ำกันแล้ว บุรุษไปรษณีย์คงจะส่งจดหมายไม่ถูก สำหรับใน Home Network ของเรานี้ จะเริ่มกำหนดไอพีแอดเดรส 192.168.0.1 เป็นต้นไป เช่น คอมพิวเตอร์เครื่องที่ 1 กำหนดไอพีแอดเดรสเป็น 192.168.0.2 คอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2 มีไอพีแอดเดรสเป็น 192.168.0.2 แบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ต้องไม่เกิน 192.168.0.254 ครับ (คิดว่าคงไม่มีบ้านไหนมีคอมพิวเตอร์ถึง 254 เครื่อง)
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเร็วในการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล ในปัจจุบันมีมาตรฐานที่เรียกว่า Fast Ethernet หัวใจหลักของ Fast Ethernet ก็คือความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้ถึง 100 Mbps (หนึ่งล้านบิตต่อวินาที) และความเร็วขนาด 1000 Mbps หรือ 1 Gbps (พันล้านบิตต่อวินาที) และอาจถึง 10 Gbps ในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับ Home Network ที่แนะนำให้คุณผู้อ่านรู้จัก และจะเริ่มลงมือปฏิบัติต่อไปนี้ จะเป็นระบบ LAN แบบ Peer to Peer ใช้รูปแบบการเชื่อมต่อแบบสตาร์ โดยใช้สาย UTP และมีอุปกรณ์เพิ่มเติมคือ ฮับ หรือ สวิตซ์ และกำหนดไอพีแอดเดรส เริ่มตั้งแต่ 192.168.0.1 เป็นต้นไป
IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) และ EIA (Electronics Association) เป็นหน่วยงานสากลที่มีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานของการออกแบบผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ กำหนดรูปแบบ
การส่งสัญญาณ จะมีโปรโตคอลอยู่ 3 แบบ ด้วยกันคือ
• ARCnet
• Ethernet
• Token Ring
• ARCnet หรือ Attached ARCnet Resource Computing Network เป็นโปรโตคอลที่ออบแบบโดยบริษัท Data Point
ในช่วงปีคศ.1977 ใช้หลักการแบบ "Transmission Permission" ในการส่งข้อมูล จะมีการกำหนดตำแหน่งแอดเดรสของเครื่องเวิร์กสเตชั่นลงไปด้วย สามารถจะเชื่อมต่อได้ทั้งแบบ Bus และ Star มีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลค่อนข้างน้อยเพียง 2.5 Kbps (2.5 เมกกะบิตต่อวินาที) ทำให้ไม่เป็นที่นิยมใช้งาน
Ethernet เป็นโปรโตคอลที่ออกแบบโดยบริษัท Xerox ในช่วงปี คศ.1970 ใช้หลักการทำงานแบบ CSMA/CD(Carrier Sense Multiple Access With Collision Detection) ในการส่งแมสเซจไปบนสายสัญญาณของระบบเครือข่าย ถ้าหากมีการส่งออกมาพร้อมกันย่อมจะเกิดการชนกัน (Collision) ของสัญญาณ ทำให้การส่งผ่านข้อมูลต้องหยุดลงทันที CSMA/CD จะใช้วิธีของ Listen before-Transmiting คือ ก่อนจะส่งสัญญาณออกไปจะต้องตรวจสอบว่าขณะนั้นมีเวิร์กสเตชั่นเครื่องใดทำการ รับ-ส่งแมสเซจบนสายเคเบิ้ลอยู่หรือไม่? ถ้ามีก็ต้องรอจนกว่าสายเคเบิ้ลจะว่าง แล้วจึงส่งข้อมูลออกไปบนสายเคเบิ้ล
โปรโตคอล Ethernet เป็นมาตรฐานของ IEEE 802.3 สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Bus และ Star โดยใช้สาย Coaxial หรือสายทองแดงคู่ตีเกลียว (UTP = Unsheild Twisted Pair) ที่มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล 10 Mpbs (10 เมกกะบิตต่อวินาที) ในปัจจุบันได้พัฒนาความเร็วเป็น 100 Mbps มีความยาวสูงสุดระหว่างเครื่องเวิร์กสเตชั่น 2.8 กิโลเมตรในการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ไปบนสายเคเบิ้ล จะใช้แบบ Machestes Encodeb Digital Base band และกล่าวถึงสัญญาณดิจิตอล 0-1 ในการส่งผ่านไปบนสายเคเบิ้ล Ethernet มีรูปแบบการต่อสายเคเบิ้ล 3 แบบด้วยกันคือ
• 10 Base T
• 10 Base 2
• 10 Base 5
10 Base T เป็นรูปแบบในการต่อสายที่นิยมมาก "10" หมายถึงความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล (10 เมกกะบิตต่อวินาที) "Base" หมายถึง ลักษณะการส่งข้อมูลแบบ Base band ซึ่งเป็นดิจิตอล และ "T" หมายถึง Twisted Pair (สายทองแดงคู่ตีเกลียว) สรุปแล้ว 10 Base T คือ การใช้สาย Twisted Pair ในการรับ-ส่งมีความเร็ว 10 Mbps ด้วยสัญญาณแบบ Base band ปัจจุบันจะใช้สาย UTP (Unshield Twisted Pair) ซึ่งจะมีสายเส้นเล็กๆ ภายใน 8 เส้นตีเกลียวกับ 4 คู่
10 Base 2 เป็นรูปแบบต่อสายโดยใช้สาย Coaxial มีเส้นศูนย์กลาง 1/4 นิ้ว เรียกว่า Thin Coaxial สายจะมีความยาวไม่เกิน 180 เมตร
10 Base 5 เป็นรูปแบบในการต่อสายโดยใช้สาย Coaxial ขนาดใหญ่ จะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1/2 นิ้ว เรียกว่าสาย Thick Coaxial การเชื่อมต่อละจุดจะมี Transcever เป็นตัวเชื่อมและใช้สายเคเบิ้ล AUI เชื่อมระหว่างเครื่องเวิร์กสเตชั่น สายจะมีความยาวไม่เกิน 500 เมตร
Token Ring เป็นโปรโตคอลที่ออกแบบโดยบริษัท IBM ใช้มาตรฐานของ IEEE 802.5 มีระบบการติดต่อแบบ Token-Passing สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งแบบ Ring และ Star มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล 4/16 Mbps และยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ของเครื่องเมนเฟรมได้โดย ตรง จากปัญหาที่เกิดการชนกันของสัญญาณ (Collision) เป็นเหตุให้ IBM หันมาใช้สัญญาณ Token เพื่อติดต่อระหว่างโหมด ขั้นตอนการรับ-ส่งข้อมูลแบบ Token-Passing Ring มีดังนี้
• ชุดข้อมูล Token จะถูกส่งให้วิ่งไปรอบๆ วงแหวนของเน็ตเวิร์ก ถ้ามีเวิร์กสเตชั่นเครื่องใดต้องการจะส่งผ่านข้อมูล ก็จะต้องรอจนกว่า Token นั้นว่างก่อน
• เมื่อรับ Token ว่างมาแล้ว ก็จะทำการเคลื่อนย้ายเฟรมข้อมูลต่อท้ายกับ Token นั้นแล้วส่งข้อมูลไปยังปลายทาง
• เวิร์กสเตชั่นอื่นที่ต้องการจะส่งข้อมูลก็ต้องรอจนกว่า Token จะว่าจึงจะส่งข้อมูลได้
เน็ตเวิร์กโปโตคอลที่ต้องใช้งาน
ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์และไคลเอ็นต์ จะใช้โปรแกรมโตคอลในการสื่อสารข้อมูล การค้นหาเส้นทางสนับสนุนการใช้บริการต่างๆ ของเซิร์ฟเวอร์ซึ่งมีอยู่หลายชนิดด้วยกันคือ
TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
เป็นโปรโตคอลที่ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ.1969 โดยเครือข่ายทางทหารของสหรัฐอเมริกาชื่อ ARPANET (Advanced Research Project Agency Network) เพื่อใช้กับระบบเครือข่าย WAN ต่อมาได้นำมาใช้งานเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายสาธารณะขนาดใหญ่หรืออินเตอร์เน็ต TCP/IP เป็นโปรโตคอลที่มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นในการทำงานสูงสามารถจะค้นหาเส้นทางได้ เหมาะสำหรับใช้ในองค์กรขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ สามารถจะส่งผ่านข้อมูลข้ามระบบที่ต่างกันได้ เช่น Windows กับ UNIX หรือ Netware หรือ Linux
NetBEUI (NetBIOS Extended Use Interface)
เป็นโปตคอลที่พัฒนามาจาก NetBIOS เริ่มใช้งานประมาณปี ค.ศ.1985 ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับเครือข่ายขนาดเล็ก เช่น ระบบ LAN ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 10-200 เครื่อง NetBEUI ไม่สามารถจะค้นหาเส้นทางได้ และทำการ Route ข้อมูลข้ามเครือข่ายไม่ได้ เหมาะสำหรับเครือข่าย LAN แต่ไม่เหมาะกับระบบ WAN ระบบปฏิบัติการ Windows NT และ Windows 2000 ยังสนับสนุนไคลเอ็นต์รุ่นเก่าที่ใช้โปรโตคอลตัวนี้อยู่
IPX/SPX (Intenetwork Packet Exchange/Sequanced Packet Exchange)
เป็นโปรโตคอลที่พัฒนามาจาก XNS Protocol (ของบริษัท Xerox Corporation และทางบริษัท Novell ได้นำพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) จะมีความสามารถในการค้นหาเส้นทางสำหรับเครือข่ายระบบ LAN และ WAN ทางไมโครซอฟท์ก็สนับสนุนโปรโตคอลตัวนี้แต่เรียกว่า NWLink IPX/SPX Compatible Transport Protocol ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ Netware สามารถใช้งานฐานข้อมูล SQL Server บน Windows NT ได้ หรือการเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ SNA ที่เชื่อมต่อกับเครื่อง Mainframe ของ IBM
DLC (Data Link Control)
เป็นโปรโตคอลที่ออกแบบพัฒนาโดยบริษัท IBM เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสารกับเครื่องเมนเฟรมของ IBM,AS/400 ที่ใช้สถาปัตยกรรมเครือข่าย SNA (System Network Architecture)
ข้อมูลจาก bomcs ค่ะ
Monday, 11 October 2010
ระบายสี ในโลกกว้าง
ปล่อยวางเถอะ หนูนา จะได้รู้ไว้ว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับ IT Support
Thursday, 7 October 2010
วิธีการแชร์ไฟล์ใน windows 7
1. Start > Control Panel > เลือก Choose home group and sharing options
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilnrXtykMUEydCLiRJ6X_Dsh6wByoszBj7B1jvfuxvb3QjTDbcGeSByYu-58J82nTuRF7uyssEY2BiTfJS1I82K0Vpm0NIgPWlXYCkn6SXSDKmwv6noL1ixrf412MfLzH2MJZ0DkB1GFg/s320/Windows71.jpg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTEhhKU-dXntWUV_BEiQtq3XtndCZoEpcHLW4-VI0W5vJjbEffazJxQgs4om0KrI0i1Q5D9fWEiSoNuw2D9Kk8knw-Mfa223kv8r-SKymk7aVI8O3qr3iOEDByOb559IlXs3Gglh9v8tQ/s320/Windows72.jpg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-s_-qDmuVLhHcX-5pBi6fXmO4dRwR5cSstU-_D1Ig51NuTPpqJuAIHCpZ0bmXqQ5u188fUfjlw4rGTHFf68q1deOQW3te96dPq37fqsBpWGuY75QMEnfqgmAbhwvoZFuFYVkK9Y3kR2o/s320/Windows73.jpg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg23L3cNRkaVXzBDoUy3W9Wf90iuOO0ozE6f8NjS8JR3BtdhuF_99ugSaMxgNJpDxFzLd5C5w9382Z0NahYo1WzLBLubt2ivpDMcxyfylmeEFgkUqFCF83KXu-mfN3D4hGHFV8YQfIVkro/s320/Windows74.jpg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjsceWqzZsKBrzgR8WIBj4xTlZWotJOlkWAJRVFtwBcoaGs4Z3S2tITNIZBhPyccNne_DbCvcWEfaEDCze3eICK9vjmpGcCub7uJ3a8McrHFB_v66IUxLOA1FtFHzxXDyhDA1gbfNwvm8/s320/Windows75.jpg)
1. ให้คลิกขวา ที่ Folder Share windows7 แล้วเลือก Properties
2. ให้เลือก Tab Sharing
3. เลือก Advanced Setting
4. ให้ติ๊ก (√) Share this folder จากนั้นให้ใส่ Share name : ผมขอใส่ชื่อว่า share windows7
5. กด Permissions เพื่อกำหนดสิทธิ์
6. ให้สิทธิ์ Everyone เป็น Full Control นะค่ะ
7. หลังจากเรากด Share ตรงหมายเลข 7 ก็ให้ให้เราพิมพ์ Everyone ลงไปแล้วกดAddตามภาพได้เลยค่ะ
8. จาก นั้นให้เลือกตรงลูกศรสีฟ้า ว่าจะปรับให้ได้แค่ อ่านได้อย่างเดียว หรือ ทั้งอ่านและเขียน ลงได้ด้วย เมื่อปรับแล้วให้กด Share ค่ะ
9. จากนั้นมาือีกเครื่อง ได้เปิด My Computer ขึ้นมา เลือกไปยังชื่อเครื่อง computer ที่ได้เปิดเเชร์เอาไว้ Enter ก็จะเห็น Folder ที่ได้แชร์ไว้ใน windows 7 แล้วค่ะ
Monday, 4 October 2010
เซิร์ฟเวอร์ H-Root ถูกโจมตีดับนาน 18 ชั่วโมง
H-Root นั้นเป็น root DNS ตัวเดียวที่ยังให้บริการจากที่เดียวคือ Aberdeen Proving Ground ขณะที่เซิร์ฟเวอร์อื่นๆ นั้นมักทำงานเป็นกลุ่มกระจายกันไปทั่วโลกจนยากจะโจมตีจนล่มได้
การโจมตีนี้อาจจะเป็นการโจมตีที่ส่งผลกระทบหนักที่สุดนับแต่ปี 2007 ที่เคยมีความพยายามจะล่มอินเทอร์เน็ตทั้งโลกด้วยการยิง root DNS จำนวนมากอยู่นาน 12 ชั่วโมงแต่เครื่องทั้งหมดก็รอดมาได้ (ข่าวเก่า)
ยังไม่แน่ชัดว่าต้นทางการโจมตีมาจากที่ไหน
Thursday, 30 September 2010
ป้องกันการแก้ไขไฟล์บน Microsoft Excel 2007
1. ให้เลือก เมนู Review จากนั้นเลือก แทบที่ชื่อว่า Protect Sheet
2. จากนั้นให้กรอก Password ลงไป
Confirm password อีกครั้ง
จากนั้นกด Save แล้วปิด Excel ไฟล์นี้ แล้วค่อยเปิดใหม่ดู
3. หลังจากที่เราเปิดไฟล์ Excel ขึ้นมาใหม่ ก็จะดูได้แค่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าจะแก้ไขต้องรู้ Password ที่เราตั้งไว้ในข้อ2 เท่านั้น โดยมาทำการกรอก Password ใน Unprotected Sheet
เพียงแค่นี้คนอื่นก็ไม่สามารถแก้ไขไฟล์ Excel ได้เแล้ว อีกอย่างค่ะ ตอนเวลาตั้ง Password อย่าลืม Password นะค่ะ
Tuesday, 28 September 2010
20 เรื่องน่ารู้ที่ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ควรทราบ
1. เปิด ปิด เครื่องคอมพิวเตอร์บ่อยๆ อาจทำให้เครื่องพัง Windows เสียได้ ซึ่งการเปิด-ปิด บ่อยๆ อาจทำให้ไฟฟ้าช๊อตได้ ดังนั้น ระหว่างที่มีการเปิดและรัน Windows แล้ว ให้รอจนกระทั่งเปิด Windows สมบูรณ์ก่อน และถ้าต้องการปิดให้สั่ง Shutdown การปิด Windows แบบไม่สมบูรณ์ อาจทำให้ Windows ไม่สามารถใช้งานได้ในคราวต่อไป เพราะไฟล์ระบบอาจเสียได้
2. ลบ ขยะคอมพิวเตอร์ ช่วยแก้ปัญหาไวรัสได้ เวลาใช้งาน โดยเฉพาะ E-mail และเข้าชม Website หลายๆ เว็บอาจแอบแฝงไวรัสมาได้ ดังนั้น การลบขยะ จะช่วยลดปัญหาไวรัสได้ส่วนหนึ่ง แต่ผลพลอยได้คือ ได้พื้นที่ของ Hard disk กลับคืนมาด้วย
3. ติดตั้งโปรแกรม กำจัดไวรัสแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก ถ้าไม่หมั่น Update Program และสั่งสแกนไวรัส เพราะไวรัสมีตัวใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกๆ นาที แล้วอย่างนี้ จะมีโปรแกรมกำจัดไวรัสตัวไหน จับได้หมด
4. มีหนึ่งวิธี ที่ช่วยลดปัญหาไวรัสได้ คือ Update Windows ให้ทันสมัย ไวรัสส่วนใหญ่มักอาศัยช่องโหว่ของ Windows ดังนั้น การ Update ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการปิดช่องโหว่ง
5. วิธี ป้องกันคนแอบใช้คอมพิวเตอร์ของเราง่ายๆ เพียงตั้งรหัสผ่านเวลาเปิดเครื่อง และใน Screen Saver
สามารถเข้าไปในส่วนของ Control Panel และเลือกหัวข้อ User เพื่อตั้งรหัสผ่านของ Windows
Screen Saver สามารถตั้งรหัสผ่าน โดยการคลิกขวาเลือก Properties และเลือก Screen Saver
6. วิธี ประหยัดไฟในการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างง่ายๆ คือ ปิดหน้าจอ ขณะไปทำธุระอย่างอื่น
7. วิธีประหยัดเงิน สำหรับการซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้งาน คือ หันมาใช้โปรแกรม Open Source หรือ Freeware
Open Source ก็เหมือนการทำการกุศล โปรแกรมเมอร์เขาตั้งใจให้ใช้งานได้ฟรี สามารถ download มาใช้งาน
Freeware ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้โปรแกรมได้ฟรี หรือสมทบทุนให้ผู้พัฒนาได้ด้วยค่ะ
8. โปรแกรมปรับแต่งภาพ ที่ใช้งานง่าย ซ่อนอยู่ในโปรแกรม Microsoft Office Tools โปรแกรมนี้ชื่อว่า Microsoft Office Picture Manager
9. การใช้หมึกปลอมกับเครื่องพิมพ์ อาจทำให้ให้สิ้นเปลืองกว่าใช้หมึกจริง เพราะอาจทำให้หัวพิมพ์เสีย บริษัทไม่รับประกัน หมึกปลอม คุณภาพที่ได้ย่อมต่ำกว่ามาตราฐาน
10. โปรแกรมฟรีที่ สามารถใช้ทดแทน Adobe Photo shop ได้ คือ GIMP เป็นโปรแกรมฟรี และดีจริงๆ น่าใช้งานมากด้วย แถมหาซื้อหนังสือสอนการใช้งาน ภาคภาษาไทยก็มีให้เห็นตามร้านหนังสือทั่วไป
11. โปรแกรมฟรี ที่สามารถใช้ทดแทน Win zip ได้ คือ 7-Zip เป็นโปรแกรมประเภทบีบอัดข้อมูล
12. ดูหนัง-ฟัง เพลงผ่าน Internet เป็นเรื่องง่ายๆ แค่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง
13. สำหรับ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ Notebook วิธีรักษาแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้น คือใช้ไฟจากแบตเตอรี่บ้าง ควรใช้แบตเตอรี่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
14. ควร ทำความสะอาดคอมพิวเตอร์บ้าง ทั้งภายในและภายนอก
15. สาเหตุที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ช้าลง นอกเหนือจากไวรัสแล้ว นั่นคือ ฮาร์ดดิสก์ใน Drive C: เหลือน้อยมาก พื้นที่หลักของ Windows เวลาทำงานคือ Drive C: ดังนั้น ถ้าพื้นที่ใน Drive C: เหลือน้อยกว่า 1 GB แนะนำให้รีบแก้ไขโดยด่วน
16. ทำ De frag Hard disk ช่วยให้เครื่องเร็วขึ้นมากกว่า 10% การทำ De fragment ก็คือการจัดเรียงข้อมูลใน Hard disk หลังจัดเรียงต้องทำการ Shutdown เครื่องก่อนใช้งานเสมอ ข้อมูลเพิ่มเติม วิธีแก้ไขปัญหาเวลาคอมพิวเตอร์ ทำงานช้า
17. ควรทำความสะอาดแป้นพิมพ์ (keyboard)
18. Mouse เสีย อาจเป็นเพราะสกปรก ถ้าเป็น Mouse แบบลูกกลิ้งให้เปิดทำความสะอาด
19. Mouse ฝืด ใช้งานไม่คล่อง อาจเป็นแผ่นรองเม้าส์ ถ้าเป็นเม้าส์แบบ Optical หรือใช้แสง ให้เปลี่ยนแผ่นรองเม้าส์เป็นแบบไม่มีลวดลาย หรือไม่ใช้เลย
Optical Mouse เป็นเม้าส์ที่อาศัยการตรวจสอบความเข้มของสีที่กระทบ การใช้แผ่นรองเม้าส์แบบมีลวดลาย อาจทำให้เพี้ยนได้ง่ายๆ
20. เม้าส์ ไม่ทำงาน ถ้าเป็นเม้าส์ไร้สาย ส่วนมากมาจากแบตเตอรี่หมด ให้ลองเปลี่ยนบ้าง อาจ จะเป็นต้องเปลี่ยนทุกในส่วนของตัวเม้าส์เอง กับตัวเชื่อมต่อ
ไอเดียเล็กๆ ที่ทำให้นักคอมพิวเตอร์ได้เข้าใจมากขึ้น นะค่ะ
Monday, 27 September 2010
ความลับของ Google
เคล็ดลับเด็ดๆ สำหรับ Google
แทบจะไม่มีใครที่ใช้งาน Google ได้อย่างเต็มความสามารถ เช่น ความสามารถในการค้นหาที่ละเอียดยิ่งขึ้นโดยการกำหนดตัวแปรต่างๆ ในการค้นหา ยิ่งไปกว่านั้นคือ Google สามารถแปลหน้า Website ได้ แสดงราคาหุ้นได้ และยังสามารถคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์ได้อีกด้วย หน้า Website ที่ดูเรียบง่ายของ Google อาจจะทำให้คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังหน้าดังกล่าวมี ฟังก์ชันที่ถูกซ่อนเอาไว้มากมาย
ค้นหาโดยระบุคำสั่งพิเศษ
อาจเคยพบเห็นอยู่บ่อยๆ ว่า ในการค้นหาข้อมูลทั่วไป มักจะมีรายการของผลการค้นหาที่ไม่มีประโยชน์ติดมา ด้วยเสมอ ซึ่งสามารถที่จะลดจำนวนข้อมูลที่พบได้โดยใช้การค้นหาแบบ Advanced Search (ค้นหาแบบละเอียด) เพื่อบอก ให้ Google จำกัดขอบเขตการค้นหาให้เหลือเฉพาะหน้า Website ที่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ในช่วง 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 12 เดือน ที่ผ่านมาเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว ยังกำหนดรูปแบบเอกสารของผลการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงได้อีก ด้วย เช่น ต้องการผลเป็น File PDF หรือ File ในรูปแบบของ Office และจำกัดการค้นหา หน้าให้อยู่ในประเภทของ Website หรือ Domain ที่ต้องการเท่านั้น
ซึ่งสามารตรวจสอบ ชนิดของ File ที่ Google สามารถค้นหาให้ได้ที่หน้าเว็บไซต์ www.google.com/help/faq_filetypes.html External Link หรือต้องการให้ Google ช่วยค้นหาสิ่งที่ต้องการเป็นพิเศษ ดังเช่น รูปภาพต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน
ค้นด้วยคำที่มีความหมายเหมือนกัน
คำจำกัดความตัวหนึ่งจะให้ผลการค้นหาที่ดีกว่าคำอีกคำหนึ่ง ทั้งๆ ที่ความหมาย ของคำทั้งสองนั้นเหมือนหรือใกล้เคียงกัน สามารถปล่อยให้ Google ช่วยคิดแทนได้ โดยให้ใส่เครื่องหมาย Tilde (~) หน้าคำที่ต้องการ ค้นหาโดยไม่ต้องเว้นวรรค Google จะค้นหาคำ Synonym ของคำที่ค้นหาให้ด้วย
ใช้ Google ช่วยแปล
แม้ว่า Google จะไม่สามารถทำลายกำแพงในเรื่องของข้อจำกัดด้านภาษาได้ แต่ก็สามารถช่วยให้ทำงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ให้ Click ที่ Language Tools (เครื่องมือเกี่ยวกับภาษา) ที่หน้า แรกของ Google เพื่อเปิดการทำงานของตัวแปล ภาษา ซึ่งสามารถพิมพ์ข้อความเข้าไปเพื่อให้ Google แปลข้อความดังกล่าวให้ได้หลากหลายภาษาด้วยกัน เช่น แปลจากภาษาเยอรมนี เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส หรือแปลข้อความจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาสเปน, โปรตุเกสหรือภาษาอิตาลี และอีกหลายภาษา แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีบริการสำหรับแปลภาษาไทย ความสามารถที่ยังโดดเด่นไปกว่านั้นก็คือ Google สามารถแปลเนื้อหาในหน้า Website ทั้งหน้าได้ โดยสามารถใส่ชื่อ URL ที่ต้องการให้ Google แปลลงในกรอบ Translate the Website ในหน้าของ Language Tools หรือ Click ที่ Link Translate this Website ของหน้า Website ที่ Google ได้ค้นหาออกมาแล้ว Google จะใช้โปรแกรมในการแปลออกมา ซึ่งบ่อยครั้งที่ข้อความที่แปลออกมาจะไม่ได้ความหมายเท่าไหร่ แต่หากต้องการผลการแปลที่ดีกว่านี้ควรเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือ Babelfish (http://babelfish.altavista.com External Link) แทน ซึ่งตัวแปลภาษา Altavista ตัวนี้ใช้โปรแกรมในการแปลของ Systran ที่ค่อนข้างใหม่กว่าของ Google และมีประสิทธิภาพในการแปลที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ข้อดีอีกข้อหนึ่งก็คือ Babelfish สามารถเข้าใจได้ หลายภาษามากกว่า Google และสามารถแปล ภาษาญี่ปุ่น, เกาหลีและจีนไปเป็นภาษาอังกฤษ ได้อีกด้วย
ค้นหาเฉพาะกลุ่ม
ประสิทธิภาพของ search engine ทั่วไปไม่ดีเท่าที่ควรเพราะข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคำ ที่ค้นหาจะถูกรวบรวมเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมากเกินความจำเป็นและไม่เกี่ยวข้องกับที่ต้องการ วิธีที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้คือค้นหาคำที่ต้องการโดยกำหนด ขอบเขตของหัวข้อเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะทำให้การค้นหาถูกจำกัดวงให้แคบลง โดย Google ได้นำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ในส่วนที่เรียกว่า Special Google Searches ซึ่งในขณะนี้มีหัวข้อให้เลือกใน การค้นหาอยู่ 6 หัวข้อ ดังเช่น การค้นหาจากหน้าเว็บไซต์ของ US (เว็บไซต์ที่มีโดเมนเป็น .us, .gov และ .mil) หรือการค้นหาเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวกับ Microsoft Linux Unix หรือ Apple ก็สามารถทำได้ นอกเหนือไปจากนั้นยังมี University Search ที่ ช่วยค้นหาเว็บไซต์เกี่ยวกับสถานศึกษาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกว่า 1,000 หน้า Website ให้เลือก
การค้นหาโดยใช้ Special Google Searches ดังกล่าวนี้จะช่วยประหยัดเวลาได้ เช่น หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ DVD Writer สำหรับเครื่อง Apple ก็สามารถพิมพ์คำว่า Apple DVD Writer ลงไปแล้วทำการค้นหา ตามปกติ จะได้รับลิสต์รายการแสดงผลการค้นหากว่า 41,000 หน้าซึ่งประกอบด้วยหน้า Website โฆษณาขายสินค้าดังกล่าวนับไม่ถ้วน แต่หากใช้การค้นหาผ่าน Special Google Searches โดยใช้เพียงคำว่า DVD-Writer ในกลุ่มของ Apple จะได้ ผลการค้นหาเพียง 1,500 หน้าเท่านั้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยข่าวคราวความเคลื่อนไหว ทิป ผลการทดสอบ รวมไปถึงส่วนแบ่งตลาด เท่านั้นก็สามารถใช้บริการ Special Google Searches ได้ตามลิงก์ www.google.com/options/special External Link searches.html
Google Toolbar
Google Toolbar เป็น Plug in ตัวหนึ่งสำหรับ Web browser ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้งาน Google ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่หน้า Home page ของ Google ก่อน ปัจจุบัน Google Toolbar ถูกพัฒนา ขึ้นมาถึง Version ที่ 2 แล้ว ข้อดีของ Google Toolbar คือความสามารถพิเศษในการแสดงระดับความนิยม (Page Rank) ของหน้า Internet หน้าต่างๆ ที่กำลังเปิดใช้งานอยู่ในขณะ นั้นหรือหาก ไม่ต้องการก็สามารถติดตั้ง Toolbar ดังกล่าวโดยไม่ติดตั้ง Page Rank Bar ลงไปด้วยก็ได้ ซึ่งทูลบาร์ที่ว่านี้สามารถทำงานได้เฉพาะใน Internet Explorer 5.0 ขึ้นไปเท่านั้น หากใช้ Netscape หรือ Internet Explorer Version ก่อนหน้านี้ก็สามารถติดตั้ง Browser Button ของ Google ซึ่งจะมี Function บางตัวของ Google Toolbar อยู่เข้าไปใน Browser เพื่อใช้แทน ได้ (www.google.com/options/buttons.html External Link) และพิเศษสำหรับผู้ใช้ Web browser Mozilla โดยเฉพาะ ในหน้า Website http://google External Link barl10n.mozdev.org/installation.html สามารถพบกับ Toolbar ของ Google ที่มีชื่อเรียกว่า Googlebar ซึ่งถูกสร้างมาเป็นพิเศษสำหรับใช้กับ Mozilla โดยเฉพาะด้วย
ใช้ Google ช่วยในการคำนวณ
Google ยังกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของเครื่องคิดเลขที่เคยใช้งานอีกด้วย สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ คือ ฟังก์ชันในการคำนวณของ Google จะช่วยในการค้นหาผลลัพธ์ของสมการทางคณิตศาสตร์ให้ด้วย หากพิมพ์โจทย์ปัญหา เช่น 365+12*8 ลงในช่องสำหรับการป้อนข้อมูล การค้นหาตามปกติแล้วเริ่มทำการค้นหาจะได้ ผลลัพธ์เท่ากับ 461 แทนที่จะได้รายการแสดงหน้า Internet ที่ค้นพบ นอกจากสมการง่ายๆ ดังกล่าว Google ยังสามารถคำนวณสมการที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นได้อีกด้วย เช่น การพิมพ์คำ ว่า sqr จะเป็นการคำนวณค่ารากที่สองของเลขที่อยู่ถัดมา หรือเมื่อต้องการคำนวณค่า 252 (25 ยกกำลัง 2) ก็สามารถทำได้โดยพิมพ์ว่า 25^2 ลงไป แม้กระทั่งฟังก์ชันตรีโกณมิติก็สามารถคำนวณได้โดยใช้ตัวย่อ sin, cos และ tan หรือการคำนวณฟังก์ชันลอกการิทึมโดยใช้เครื่องหมาย ln, lg และ lb ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติและความสามารถของ Google Calculator นี้สามารถดู ได้ที่หน้า www.google.com/help/calculator.html External Link Google รู้จักค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์หลายต่อหลายตัว เช่น ค่าพาย (ฆ), ค่าความเร็วแสง (c), ค่าความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงโลก (G) และอื่นๆ อีกมาก หากใส่สัญลักษณ์สากลของค่าคงที่ลงไป Google จะแสดงค่าดังกล่าวออกมาเป็นตัวเลข แต่ก็สามารถใช้ค่าคงที่ในสมการต่างๆ ได้เช่นกัน
นอกเหนือไปจากการคำนวณที่ยุ่งยากซับซ้อน Google ก็สามารถแสดงการคำนวณพื้นฐาน ในเรื่องการเปลี่ยนหน่วยให้ได้ เช่น เปลี่ยนหน่วยไมล์ (Miles) หรือนิ้ว (Inches) เป็นกิโลเมตร, เมตรหรือเซนติเมตร หรือเปลี่ยนจากแคลอรีเป็นกิโลจูล หรือจากกิโลกรัมเป็นปอนด์ก็ได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่คุณพิมพ์ง่ายๆ ดังเช่นว่า "25 miles in kilometer" หรือ "50 pounds in kilogram" ซึ่งการคำนวณดังที่กล่าวมาแล้วนี้สามารถทำ ได้ในหน้าเว็บไซต์ของ Google ทุกๆ หน้า เพียงแต่ต้องพิมพ์ข้อความทั้งหมดในรูปแบบของภาษาอังกฤษ
ชอปปิ้งด้วย Google : Froogle
Google มีบริการพิเศษสำหรับนักชอป Online โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกบริการนี้กันว่า Froogle ซึ่งเป็นการนำคำว่า Google มาผสมกับคำว่า Froogle ซึ่งแปลว่าประหยัด โดยเครือข่ายของ Froogle จะมีความสามารถในการค้นหาสินค้าต่างๆ ในร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ (http://froogle.goo External Link gle.com) การค้นหาสามารถทำได้โดยใส่ชื่อผลิตภัณฑ์ที่ต้องการโดยตรง (เช่น "Panasonic DVD S75") หรือยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ชัดลงไป ก็สามารถดูไปเรื่อยๆ และทำการค้นหาใน แคตาล็อกของแต่ละกลุ่มสินค้า เช่น "Art & Entertainment", "Home & Garden" หรือ "Toys & Games" และสามารถเรียงผลการค้นหาที่ได้จากทั้งสองวิธีนี้ตามราคา หรือเรียง Website ตามจำนวนสินค้าที่เสนอ แต่ปัจจุบัน Froogle ยังคงอยู่เพียงแค่ช่วง Version Beta ของการพัฒนาเท่านั้น อีกทั้งยังมีเฉพาะ Version ภาษาอังกฤษเท่านั้น ยกเว้นผลการค้นหาที่เป็นสากลนั่น คือ Froogle สามารถหาหน้า Website ที่ให้บริการดังกล่าวได้ทั่วโลกเหมือนการ Search ทั่วไป
ตรวจสอบราคาหุ้น
Google.com สามารถแสดงให้ทราบถึงสถานภาพของหุ้นต่างๆ ที่ต้องการทราบได้ โดยมีข้อแม้เพียงข้อเดียวคือ หุ้นของบริษัทดังกล่าวต้อง อยู่ในตลาดหุ้นของอเมริกาวิธีการก็คือ ให้ใส่ชื่อของบริษัทที่ต้องการสำรวจราคาหุ้นลงในช่อง สำหรับป้อนข้อมูล การค้นหา เช่น หากพิมพ์คำว่า Microsoft ลงไป Google จะแสดงที่บรรทัดสุดท้ายของผลการค้นหาว่า "Stock Quotes: MSFT" เมื่อ Click ที่บรรทัดดังกล่าว จะเป็นการนำไปสู่หน้า Yahoo Finance Site ซึ่งมีข้อมูลหุ้นขณะปัจจุบันของ Microsoft แสดงอยู่ หรือในกรณีที่รู้ชื่อย่อของแต่ละบริษัท (เช่น Microsoft ใช้ MSFT) ก็เพียงพอเพราะสามารถเลือกที่สัญลักษณ์ "Stock Quote" ซึ่งอยู่บริเวณด้านบนของรายการต่างๆ ได้โดยตรง เพื่อนำเข้าไปสู่หน้า Yahoo-Finance ได้เช่นเดียวกัน
คำตอบจาก Google
มีไม่กี่ครั้งที่ Google ไม่สามารถค้นหาข้อมูลให้ได้ตามต้องการ แต่บ่อยครั้งที่ข้อมูลที่ได้ ไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริง นั่นก็เพราะว่า Google เป็นเพียงแค่เครื่องจักรธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าข้อมูลใดคือ ข้อมูลที่ต้องการ ดังนั้นจึงได้มีการออกแบบเครื่องจักร มีชีวิตขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิด ขึ้น ซึ่งถูกเรียกว่า Human Search Machine โดยสามารถใช้บริการนี้ได้ที่หน้า http://answers External Link. google.com ซึ่งมีวิธีดำเนินการคือ หากมีคำถามซึ่งพร้อมที่จะจ่ายเงินเป็นค่าคำตอบตั้งแต่ 2 ถึง 200 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาแล้ว ให้เรียบเรียงคำถามและรอให้ Google หาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตอบคำถามของได้ เมื่อได้รับคำตอบก็จะถูกเก็บเงินตามราคาที่ได้ตั้งเอาไว้ ในการใช้บริการดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องลงทะเบียนด้วยอีเมล์ ส่วนการจ่ายค่าบริการจะต้องจ่ายผ่านทางบัตรเครดิต จุดเด่นของบริการนี้คือ คำถามทั้งหมดที่ถูกตอบไปเรียบร้อยแล้วจะถูกเก็บเอา ไว้ ซึ่งสมาชิกที่ลงทะเบียนทั้งหมด จะสามารถดูคำตอบเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเสีย เงินซ้ำอีก ถ้าโชคดีอาจจะมีคำตอบอื่นที่ต้องการรวมอยู่ในนั้นด้วยก็ได้
Friday, 24 September 2010
การแก้ไขชื่อผู้เขียน (Author) ใน Microsoft Office 2007
สวัสดีค่ะ วันนี้ user ต้องการจะเปลี่ยน author ใน MS Word 2007 เลยไปค้นคว้าหาข้อมูล มาจนได้ อธิบายพร้อมภาพ เลยนะค่ะ ทุกๆ คน จะได้เข้าใจค่ะ อันนี้ต้อง ขอบคุณ user มากเลย ที่หา Trip IT เล็กๆ น้อยๆ มาใส่สมอง ให้กับ IT Support อย่างหนู อยากจะบอกว่า เรื่อง ตั้งค่า Option ของ Microsoft Office นี่ มีความรู้น้อยมาก เลย เเต่ก็ดี เเ้ล้ว ที่มี คนมากระตุ้น เราอยู่เสมอ ให้เราได้เรียนรู้ เอาล่ะค่ะ มาดูขั้นตอนการทำงานกันเลยดีกว่า คำว่า author คือ ชื่อผู้เขียนจะเป็นตัวระบุเจ้าของงาน หรือเจ้าของไฟล์นั้น เมื่อทำการสร้างไฟล์ใดๆ ชื่อผู้เขียนจะถูกบันทึกในไฟล์งานโดยอัตโนมัติ สามารถดูชื่อผู้เขียนได้โดยการ Click ขวาที่ไฟล์ จะปรากฎตามภาพ Type rest of the post here
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXVfp8EjOxQbkUQRh0V3xCi0zmxpqB5bYMvfc0iFECViCP0BfPdISOH8Iui9Kwkthd23QvBjwFNiyI-YXjK4Yrhptm3AuYo3b7ha5siX_0Le-mxQOgHVgdZp06Vh4IDLPUARi8BJ-zRTo/s320/authorname0.jpg)
หลังจากเปิด Microsoft Word 2007 แล้ว Click ตามรูปภาพ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6hsNifaxyKYqIG5B3Jb4rL_G2AXcKlg2zS41K-VuMqOyu5Mo_bAgkrq6g67jFH2iBHCEXaNojY_qp6VCA6qhYKLw9NvNWlTfEulvVbRcNR06s3Te7giUvuv_rsN1jPU_udLaxBMcPa8A/s320/authorname1.jpg)
จากชื่อเดิมคือ noraset2 เปลี่ยนเป็น noraset3 แล้วกด OK จากนั้นให้ทำการ ปิดโปรแกรม Microsoft Word 2007 แล้วเปิดขึ้นใหม่ ทดสอบสร้างไฟล์แล้วบันทึกตามปกติ ชื่อผู้เขียนก็จะเปลี่ยนไปตามการกำหนดค่าดังที่กล่าวไปแล้วค่ะ
* และเมื่อกำหนดค่าพื้นฐานทุกขั้นตอนแล้ว ใน Application อื่นๆในชุด Microsoft office ก็จะถูกกำหนด ค่าตามนี้เช่นกัน
การแก้ไขชื่อผู้เขียนและ รายละเอียดต่างๆของไฟล์
ในกรณีที่มีการสร้างไฟล์ไปแล้วและต้องการเปลี่ยนชื่อผู้เขียน และเพิ่มรายละเอียดต่างๆของไฟล์ (Title ,Keyword, Subject) ก็สามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQfSGOOGSTIWrADAs3MfmrpeRYy7tB4ScFQ_kPj42NBigPhnTX_KvLAXxo2yOEd9bSfIzFbHcmQyFzXDbCv4JJqDQHpKk6Xas7EhmRFUntrth0XF-ldE4T4wEPv51LXmPCt9a9Oblqrx0/s320/authorname3.jpg)
Thursday, 23 September 2010
ระบาย สี กับ โลก กว้าง ๆ
ปาฎิหาริย์ที่ 1 ให้ "เวลา" แก่คนที่คุณรัก
ปาฎิหาริย์ที่ 2 ให้ "ความรัก" แก่คนในครอบครัว
ปาฎิหาริย์ที่ 3 ให้ "ความกตัญญู" แก่บุพการี
ปาฎิหาริย์ที่ 4 ให้ "ความรับผิดชอบ" แก่การทำงาน
ปาฎิหาริย์ที่ 5 ให้ "อภัย" แก่คนที่หลงผิด
ปาฎิหาริย์ที่ 6 ให้ "ความรู้" แก่ผู้ที่ยังเขลา
ปาฎิหาริย์ที่ 7 ให้ "ทาน" แก่คนที่ยังขัดสน
ปาฎิหาริย์ที่ 8 ให้ "แบบอย่างที่ดี" แก่คนรุ่นหลัง
ปาฎิหาริย์ที่ 9 ให้ "มิตรภาพ" แก่คนทั้งโลก
ปาฎิหาริย์ที่ 10 ให้ "ความทุ่มเท" แก่องค์กรที่ตนสังกัด
ปาฎิหาริย์ที่ 11 ให้ "ความจริงใจ" แก่สัมพันธภาพ
ปาฎิหาริย์ที่ 12 ให้ "ความซื่อสัตย์" แก่การทำราชการ
ปาฎิหาริย์ที่ 13 ให้ "ความเสียสละ" แก่ประเทศชาติ
ปาฎิหาริย์ที่ 14 ให้ "ความยินดี" แก่ผู้ประสบความสำเร็จ
ปาฎิหาริย์ที่ 15 ให้ "ความปล่อยวาง" แก่สิ่งสุดวิสัย
ปาฎิหาริย์ที่ 16 ให้ "ความเป็นธรรม" แก่ผู้ถูกกลั่นเเกล้ง
ปาฎิหาริย์ที่ 17 ให้ "มรรคา" แก่ผู้ที่ยังหลงทาง
ปาฎิหาริย์ที่ 18 ให้ "ที่พึ่งทางใจ" แก่ผู้สับสน
ปาฎิหาริย์ที่ 19 ให้ "อิสรภาพ" แก่ผู้ถูกกิเลสครอบงำ
ปาฎิหาริย์ที่ 20 ให้ "โอกาส" แก่ตนเองได้ลิ้มรสสัจธรรม